การ Calibrate Battery เพื่อเพิ่มอายุการใช้งาน


สำหรับผู้ที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คหรือเน็ตบุ๊คทุกท่านจะมีปัญหาเกี่ยวกับแบตเตอรี่ที่เมื่อใช้ไปนานวันเข้า  ทำไมแบตเตอรี่หมดไวจัง  ทำให้ทำงานไม่สะดวก เหมือนเมื่อตอนซื้อเครื่องมาใหม่ๆ เนื่องจากภายในแบตเตอรี่จะมีวงจรที่รองรับการปรับรีชาร์จและชาร์จไฟให้ได้มาตรฐาน  ซึ่งหากใช้งานมาเป็นเวลานาน ไฟอาจจะชาร์จเข้าไม่เต็มที่ หรือ ไม่สามารถชาร์จจนเต็มได้ 100% ได้ ซึ่งนั้นหมายถึงการเสื่อมของแบตเตอรี่อายุการใช้งานจะน้อยลง เราก็ต้องมีการที่จะยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ให้นานขึ้น
สำหรับบางคนจะเข้าใจผิดบอกว่าให้ถอดแบตเตอรี่ออกใช้การเสียบอะแดปเตอร์แทน  วิธีการนี้อายุของแบตเตอรี่ยิ่งจะเสื่อมเร็วเพราะไม่มีการกระตุ้นด้วยการใช้งานเลย  บางคนก็บอกว่า เสียบอะแดปเตอร์ไว้ตลอดเวลาจะได้ชาร์จให้เต็มตลอดเวลา อันนี้ก็ใช้ได้ แต่ก็ไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะว่ายังไม่ได้คลายประจุไฟออกมาก็อัดคืนเข้าไปแล้ว
การทำ Calibrate Battery ครับ เป็นคำตอบของปัญหานี้ เมื่อคุณใช้แบตเตอรี่ สักระยะหนึ่ง แล้วมีอาการที่ไฟหมดเร็วชาร์จไม่เต็ม 100% การทำ Calibrate คือการปรับแต่ง แบตเตอรี่ให้เหมาะสมกับการใช้งาน เพื่อยืดอายุให้นานวันและมีพลังเพียงพอในการทำงาน ถึงจะมีความจุของแบตเตอรี่ไม่เหมือนตอนซื้อมาใหม่ แต่ก็จะเป็นการเพิ่มขึ้นเท่าที่มันสามารถทำได้ โดยเฉพาะแบตเตอรี่ยุคใหม่ๆ ที่เป็น Lithium ควรจะทำการ Calibrate ตามขั้นตอนดังนี้
1. ให้เสียบปลั๊กไฟอะแดปเตอร์ให้ชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม จนกระทั่งไฟแสดงการชาร์จ หรือไอคอนแสดงการชาร์จใน Windows แสดงว่าเต็ม 100%.
2. เมื่อแบตเตอรี่เต็มแล้วถอดปลั๊ก จากนั้นใช้งานเครื่องจนแบตเตอรี่เกือบจะหมด จัดเก็บงานเอกสารที่แก้ไข ปิดเบราว์เซอร์เว็บ และโปรแกรมต่างๆ ให้หมด แล้วปล่อยให้โน้ตบุ๊คชัตดาวน์ไปเอง (Hibernate Mode) แบตเตอรี่จะเหลือประมาณ 5 – 10%
3. ทิ้งไว้อย่างนั้นเป็นเวลา 5 – 6 ชั่วโมง หรือค้างคืนก็ได้  ซึ่งแบตเตอรี่จะมีการคายประจุไฟฟ้าจนเกือบจะสมบูรณ์ เพื่อการชาร์จครั้งต่อไปจะได้เหมือนกับเป็นการชาร์จครั้งแรกๆ
4. จากนั้นเปิดเครื่องแล้วชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 100% แล้วค่อยนำไปใช้
5. ทำขั้นตอนทั้งหมดนี้ เดือนละครั้ง หรือทุกๆ การชาร์จแบตเตอรี่ 30 ครั้ง
การดูแลแบตเตอรี่ หรือ Calibration เป็นขั้นตอนสำคัญที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะละเลย แนะนำให้ทำตามขั้นตอนข้างต้นทุกเดือน มันก็น่าจะทำให้ได้ผลลัพธ์ของประสิทธิภาพการทำงานที่ดีที่สุดอยู่เสมอ  หากคุณทำเป็นปกติ คุณจะสังเกตเห็นว่า แบตเตอรี่ของโน้ตบุ๊คใช้งานได้นานขึ้น แถมยังช่วยยืดอายุใช้งานแบตเตอรี่ ไม่ต้องเปลี่ยนอันใหม่ในระยะเวลาอันสั้นอีกด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม
  • เวลาใช้งานโน้ตบุ๊ค เมื่อเสียบปลั๊กแล้วควรถอดแบต ฯหรือไม่
คำตอบขอปัญหานี้เป็นที่โต้แย้งกันมานานแล้ว ในที่นี่จะกล่าวถึงข้อดีและเสียให้พิจารณากันเองนะครับ
1. เสียบปลั๊กแต่ไม่ถอดแบตฯ
ข้อดี
– หากระบบไฟฟ้ามีปัญหา ก็จะไม่ส่งผลต่อการทำงาน และงานที่ทำในเครื่องโน้ตบุ๊คเปรียบเหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ UPS อยู่
– ขั้วแบตเตอรี่จะไม่เกิดปัญหา ฝุ่นผงหรือความชื้นไปเกาะ
ข้อเสีย- แบตเตอรี่จะได้รับความร้อนจากตัวเครื่อง ส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าปกติเล็กน้อย
2. เสียบปลั๊กแล้วถอดแบตฯ
ข้อดี
– แบตเตอรี่จะปลอดภัยต่อความร้อนที่มาจากตัวเครื่อง Notebook แน่นอน
ข้อเสีย
– ขั้วแบตเตอรี่อาจเกิดฝุ่นผงหรือมีความชื้นไปเกาะทำให้เกิดคราบออกไซด์ อาจส่งผลให้เกิดอาการเสียบแบตเตอรี่แล้วไฟไม่เข้าเครื่องได้
– หากระบบไฟมีปัญหา เช่น ไฟฟ้าดับ ไฟตก ไฟเกิน   โน้ตบุ๊คจะดับทำให้งานในเครื่องเสียหาย และอาจทำให้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ในเครื่องเสียหายได้
ในความคิดเห็นส่วนตัว ผมแนะนำให้เสียบแบตเตอรี่ทิ้งค้างไว้เลย เพราะว่าจากเหตุการณ์ที่เคยเจอมาคิดว่าข้อดีกว่าข้อเสียครับ แม้ว่าการที่เสียบแบตเตอรี่ค้างไว้จะทำให้แบตเตอรี่ได้รับความร้อนจากเครื่อง แต่ในปัจจุบันการผลิตโน้ตบุ๊คนั้นออกแบบมาดี จะมีฉนวนกันความร้อน มาอยู่แล้วโดยตำแหน่งที่แบตเตอรี่อยู่จะมีผลต่อความร้อนน้อยมาก
  • การดูแลแบตเตอรี่
ปัจจุบันแบตเตอรี่ที่ใช้กับโน้ตบุ๊คจะเป็นแบบ Lithium เกือบทั้งหมดแล้ว การที่จะดูแลรักษาให้แบตเตอรี่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ก็มีดังนี้
1. พยายามหลีกเลี่ยงการใช้แบตเตอรี่จนหมดแล้วค่อยชาร์ต โดยเฉพาะการใช้งานจนแบตเตอรี่เหลือต่ำกว่า 10% ทุกครั้งแล้วค่อยชาร์จ ซึ่งอาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าเวลาอันควร  แต่สำหรับการทำ Calibration ที่แนะนำข้างต้น จะทำแค่ครั้งเดียวต่อเดือนหรือทุกๆ 30 ครั้งของการชาร์จ  สำหรับการใช้งานทั่วไป เมื่อแบตเตอรี่เหลือไฟประมาณ 30% – 40% ก็ควรชาร์จได้แล้ว นอกจากนี้ ความร้อนของโน้ตบุ๊ค หรือแหล่งความร้อนภายนอก อย่างเช่น ทิ้งโน้ตบุ๊คไว้กลางแดด ก็ส่งผลต่อแบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้นได้อีกด้วย
หากต้องทิ้งโน้ตบุ๊คไว้โดยไม่ใช้นานเกินกว่า 1 สัปดาห์ ควรมั่นใจว่า มีแบตเตอรี่เหลืออยู่อย่างน้อย 40% และที่สำคัญที่สุดคือการชาร์จบ่อยๆ จะช่วยป้องกันการลืมชาร์จไฟ  อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่ Lithium ไฟหมดเป็นเวลานานมันจะเสีย ไม่สามารถชาร์จไฟได้อีก
2. จำไว้เสมอว่าแบตเตอรี่แบบ Lithium ความร้อนมีผลต่อการเสื่อมมากกว่ารูปแบบการชาร์จไฟครับ ดังนั้นพยายามดูแลอย่าให้แบตเตอรี่ร้อน จะได้ผลดีกว่ามัวกังวลเรื่องชาร์จบ่อย ชาร์จมาก ชาร์จน้อย
3. เก็บแบตเตอรี่ไว้ในที่เย็นๆ ถ้าจำเป็นจะต้องเก็บโน้ตบุ๊คไว้ในรถที่จอดตากแดด ก็ควรถอดแบตเตอรี่แยกติดตัวออกมาด้วยครับ จะช่วยให้แบตเตอรี่เสื่อมช้าลง
4. ไม่ควรซื้อแบตเตอรรี่แบบ Lithium มาเก็บไว้ เผื่อใช้งานครับ เพราะแบตเตอรี่แบบ Lithium มีอายุการเสื่อมสภาพนับจากวันผลิต (ไม่ใช่วันที่ใช้) ดังนั้นถ้าเก็บไว้นานโดยไม่ใช่มันก็จะเสื่อมไปเองได้  และเช่นเดียวกันกับการเลือกซื้อแบตเตอรี่แบบ  Lithium ไม่ควรซื้อแบตเตอรี่ประเภทเก่าเก็บเพราะซื้อมาแล้วใช้ได้ไม่นานแบตเตอรี่มันจะเสื่อมตามอายุของมันเองครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ใช้ Windows 7 เเล้วช้า…ถึงคราวสะสางระบบกันบ้าง

Windows 8 : เอา Classic Start Menu กลับมาใช้

เอาคำสั่งลบไฟล์แบบถาวรมาไว้ที่เมนูคลิกขวา